เกิดเป็นเวรเป็นกรรมคอยตามสนองจนน่าอนาจยิ่งนัก เมื่อลุงพิง ชาวบ้านธรรมดาคนนึงมีอาชีพหาของป่า จับสัตว์ป่าด้วยความสนุกสนานมาขาย แต่สุดท้ายเขาต้องเจ็บปวดแทบใจสลาย
ราว ๆ ช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว ลุงพิงและภรรยาอาศัยในหมู่บ้านที่ห่างไกลชุมชนเมืองเข้าไปในหุบเขา อาชีพของลุงพิงนั้นหรือ คือการหาของป่ามาขายให้กับชุมชน หลัก ๆ ก็จะเป็นการหาแหย่ไข่มดแดง โดยจะมีภรรยาของลุงพิงเข้าไปร่วมช่วยกัน วิธีการหาก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อลุงพิงเข้าไปในป่า ลุงพิงจะรู้แหล่งของมันว่าอยู่บริเวณไหนของป่า หรือฤดูไหนที่มดแดงเริ่มมีไข่ เมื่อเจอรังมดแดงแล้ว ภรรยาของลุงพิงจะร่วมด้วยช่วยกันเอาไม้ที่ติดตะกร้าไว้ที่ปลาย แล้วเอาไปกระทุ้งแหย่ให้รังมดแดงแตกออก ครานี้ทั้งไข่ทั้งมดก็จะร่วงหล่นลงสู่ตะกร้า พอได้สมใจปรารถนาแล้ว ภรรยาของลุงพิงจะถอดตะกร้าออกจากไม้ แล้วค่อย ๆ เทลงบนกระด้งที่ได้ตระเตรียมไปด้วยนั้น ฝ่ายลุงพิงก็จะก่อคบไฟที่จุดจากทางมะพร้าวแห้ง นำเอาไปลนให้บรรดามดทั้งหลายที่หวงไข่ หรือบางตัวก็พยายามต่อสู่เพื่อป้องกันไข่ตัวมัน ให้ตายหรือหนีออกไป เจ้ามดตัวน้อย ๆ ฤๅ จะสู้พลังของมนุษย์ สุดท้ายลุงพิงและภรรยาก็ได้ไข่มดแดงสมใจปรารถนา
วันแล้ววันเล่าผ่านไป ลุงพิงและภรรยายังคงทำอาชีพหาของป่า คราวนี้ไม่ใช่แค่หามาแค่พอกินพอขาย แต่เหมือนจะเป็นกิจกรรมสนุก ลุงพิงแหย่ไข่มดแดงจนหมดป่า กระนั้นเมื่อฤดูกาลผ่าน อีกทั้งมดแดงก็เริ่มไม่มีเหลือ และ ณ ตอนนี้ภรรยาของลุงพิงก็ตั้งท้องได้ 7 เดือนกว่าแล้ว ทำให้ภรรยาต้องอยู่บ้านเฉย ๆ ส่วนลุงพิงก็ยังคงเข้าป่าเช่นเคย คราวนี้ลุงเปลี่ยนอาชีพมาเป็นเสาะหาลูกนกขุนทองแทน เพื่อเอามาขาย เนื่องด้วยนกขุนทองนั้นเมื่อเลี้ยงได้สักพัก มันจะหัดเลียนเสียงพูดของมนุษย์ได้ ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาด แถมราคายังสูงมากด้วย และเช่นเคย ลุงพิงก็เริ่มสนุกกับอาชีพนี้แล้ว แกไม่สนใจว่าตอนนี้จะมีนกเหลืออยู่ในป่าเท่าไหร่ แกไม่สนใจเรื่องบาปกรรม ในใจคิดแต่เพียงว่า มันสนุก และได้ตังเยอะ คนในละแวกนี้ต่างขนานนามลุงพิงว่า ลุงพิง ผู้วิเศษเสกนก คำว่าผู้วิเศษเสกนกนั้น มิใช่นามสกุลของลุงพิง หากแต่เป็นเพราะลุงพิงจะรู้แหล่งลูกนก และเมื่อเอามาเลี้ยงสักพักลุงพิงก็สามารถฝึกมันให้พูดได้ ราวกับลุงแกเสกขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
ครั้งหนึ่งในขณะที่ลุงพิงกำลังออกตามหาลูกนกขุนทอง โดยตามตัวแม่นกไปจนถึงรังของมัน ซึ่งแม่นกบินไปไกลจนถึงวัดป่าที่อยู่ไม่ไกลจากชุมชนนัก พอไปถึงลุงแกสังเกตเห็นแม่นกได้บินไปหยุดอยู่ที่รังของมันบนบริเวณหลังคาศาลาการเปรียญวัดแห่งนี้ ด้วยประสบการณ์อันแม่นยำชำนาญ มีโอกาสน้อยมาก ๆ ที่จะคาดคะเนพลาด แล้วก็จริงอย่างการคาดคะเน ในรังนกก็มีลูกนกขุนทองอยู่หลายตัว ลูกนกกำลังร้องกันจ้า เพื่อรอให้แม่ของมันป้อนอาหารให้ เมื่อเห็นเช่นนั้นแกก็ยิ้มแย้มด้วยความฮึกเหิม ไม่ทันได้มองรอบ ๆ ลุงแกจึงจัดการปีนขึ้นไปบนศาลาการเปรียญวัด แล้วจึงจับเอาลูกนกใส่ลงในย่ามที่เตรียมมาด้วยทีละตัวทีละตัวจนหมด ฝ่ายแม่นกนั้นก็ร้องแว้ก ๆ ลั่น เหมือนมันกำลังร้องขอว่าอย่าเอาลูกข้าไปเลย อย่าเอาไปเลย มันพยายามบินวนไปรอบ ๆ ตัวของลุงพิง แต่ลุงแกไม่ได้สนใจอะไร ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วจึงค่อย ๆ เดินไปอย่างช้า ๆ ในทันใดนั้นก็มีพระสงฆ์รูปหนึ่งอายุราว ๆ วัยกลางคนก็ได้เอ่ยกับลุงพิงว่า
พระสงฆ์: "โยมเอ้ย! อย่าเอาลูกนกไปเลยนะ โยมเห็นหรือไม่ แม่ของมันกำลังบินวนไปวนมาเพื่อขอร้องให้โยมคืนลูกของมันอยู่ และในย่ามของโยมลูกนกต่างก็ร้องหาแม่ของมัน โยมไม่สงสารมันหรือ"
ลุงพิงหันไปมองพระสงฆ์รูปนั้นด้วยหน้าตาไม่ค่อยพอใจ แล้วจึงรีบพูดตัดบทออกไปในทำนองว่า
ลุงพิง: "หือ! อะไรนะท่าน นี่มันเรื่องทางโลก ท่านไม่น่าจะมายุ่งเกี่ยวนะ ข้าทำอาชีพเลี้ยงครอบครัวของข้า ท่านก็พูดได้น่ะซิ อยู่เฉย ๆ ชาวบ้านก็เอาของมาถวาย ท่านไม่เป็นข้า ท่านไม่เข้าใจหรอก อย่าโลกสวยให้มันมากเลยนะท่าน"
พูดจบ ลุงแกก็หันหลังให้กับพระสงฆ์รูปนั้น ก็รีบเดินออกจากวัดทันที แกไม่สนและไม่อยากฟังคำเทศนาสั่งสอนจากพระสงฆ์แบบไหนทั้งสิ้น
วันเวลาล่วงเลยผ่านไปอีก 10 ปี วันนี้ลุงพิงแก่ชราภาพลงไปมาก ครอบครัวลุงก็ยังคงหาเช้ากินค่ำ มิได้ร่ำรวยขึ้นจากอาชีพแต่อย่างใด บ้านที่มีก็เป็นลักษณะบ้านไม้เก่า ๆ ธรรมดา ในที่นาก็มีกระท่อมอีกแห่งเอาไว้พักพิงในยามออกนา หรือยามช่วงกลางวันที่อยากจะไปนอนพักผ่อน มีลูกอายุวัยประถมตอนปลายแล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าลูกคนนี้ช่างไม่เอาไหนเสียเลย เรียนก็ไม่เก่ง ขี้เกียจทั้งการเรียนทั้งเรื่องช่วยพ่อแม่ก็ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
ในเย็นวันหนึ่งในขณะที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ทว่าวันนี้พระอาทิตย์มีสีแดงดูคล้ายเหมือนเคลือบด้วยเลือด บางคนมองว่าแปลกและน่าสนใจ แต่หลายคนกลับมองว่ามันเป็นลางบอกเหตุอะไรสักอย่าง แสงสีเหลืองเข้มได้สาดส่องไปทั่วพื้นปฐพี ลมพัดเบา ๆ จนค่อย ๆ สงบลง สักครู่หนึ่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้ว ค่ำคืนนี้ไม่มีแม้เสียงจิ้งหรีดร้อง หรือเสียงกิ่งไม้กระทบกอไม้ก็แทบจะไม่ได้ยิน ช่างเป็นคืนที่เงียบจนแปลกประหลาด ลุงพิงและครอบครัวไม่ได้สังเกตอะไร หลังจากกินข้าวกินปลากันเสร็จต่างก็พากันหลับไหล เวลาล่วงเลยมาประมาณตี 2 ท้องฟ้ามืดมิดด้วยเมฆก้อนใหญ่ที่เคลื่อนมาปกคลุม ลมพัดโบกโบยโชยมาเอื่อย ๆ ได้สักระยะหนึ่งจนกระทั้งได้เพิ่มทวีความแรงขึ้นทุกนาที จนในที่สุดกลายเป็นพายุแรงกล้า เสียงต้นไม้หักและเสียงลมปะทะกับกิ่งของต้นไม้ รวมทั้งบ้านเรือนดังอื้ออึงอึกทึกครึกโครมราวกับเสียงของพญายมราชร้องเรียกหาชื่อครอบครัวผู้เคยก่อบาปกรรม ต้นไม้น้อยใหญ่ล้มระเนระนาดด้วยแรงลมพายุร้าย
ในชั่วฉับพลันนั้น พายุที่แสนโหดร้ายก็ได้อุ้มเอาหลังคาบ้านของลุงพิงไป คราวนี้ลุงพิง ภรรยา และลูกต่างพากันวิ่งวุ่นวายไม่น้อย กำแพงบ้านไม้ก็เริ่มร้าวแตกทีละนิด ๆ ทำให้ทั้งหมดต้องรีบวิ่งหนีตายออกจากบ้าน นึกขึ้นได้ว่ายังมีกระท่อมอีกแห่งอยู่กลางที่นา ซึ่งเป็นที่ราบลุ่มรายล้อมด้วยผืนป่าเขาอยู่รอบ ๆ จึงชวนกันวิ่งไปหลบที่กระท่อมแห่งนั้น เวลาผ่านไปราว ๆ 2 ชั่วโมง ลมพายุค่อย ๆ สงบลง ทั้งลุงพิง ภรรยา และลูก หลังจากเหนื่อยล้ามาครึ่งคืนต่างค่อย ๆ หลับลงอีกครั้งที่กระท่อมแห่งนี้ แต่ความจริงแล้ว เมื่อใดที่พายุสงบลง รอบ ๆ ตัวมีเสียงนกร้องกันลั่น นั่นเป็นสัญญาณเตือนภัยว่ากำลังมีบางอย่างที่เข้ามา ให้ทุก ๆ ตัวรีบอพยพด่วน แต่สำหรับมนุษย์แล้วจะมีน้อยคนนักที่รู้เรื่องการแจ้งเตือนนี้ ครอบครัวลุงพิงก็เช่นกัน หลับใหลลงด้วยความเหนื่อย มิได้สนใจเสียงนก หรือเสียงหมาที่หอนอยู่ไกล ๆ นั้นเลย เวลาประมาณตี 4 กว่า ๆ สายฝนเริ่มกระหน่ำเทลงมาอย่างหนัก เสียงฟ้าคำรามกึกก้อง ราวกับว่าแผ่นดินกำลังจะถล่มทลายลงมา มันช่างน่าสยดสยองขวัญยิ่งนัก ราวกับเป็นเสียงเรียกของพญามัจจุราชที่กำลังหิวกระหายเหยื่อเสียเต็มประดา เรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทันใดนั้นก็ปรากฏเป็นแสงอัสนีบาตฟาดลงสู่พื้นปฐพีเป็นระยะ ๆ ถูกเอาต้นไม้ต่าง ๆ หักล้มลง ราวกับเทวดาฟ้าดินกำลังพร้อมใจกันลงโทษคนบาปหนา ชาวบ้านผู้ที่เชื่อในลางสังหรณ์เมื่อตอนเย็น ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านไม่ไกลจากกระท่อมของลุงพิงมากนักต่างพากันสะดุ้งผวากันไปตาม ๆ กัน
ขณะนี้น้ำป่าเริ่มไหลหลาก ได้ซัดเอาทั้งท่อนไม้ที่หัก ทรัพย์สิน ข้าวของต่าง ๆ กระจัดกระจายไปคนละทิศ ทั้งชุมชนหมู่บ้านกลายเป็นทะเลสาบในชั่วข้ามคืน ในส่วนของลุงพิง ทั้งบ้านทั้งกระท่อมได้จมหายไปกับน้ำ มองไม่เห็นเลยว่าที่แห่งนี้เคยมีบ้านหรือกระท่อมอยู่ ยิ่งกระท่อมที่อยู่ในพื้นที่ราบลุ่มน้ำด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ลุงพิงนั้นโชคดีได้เกาะเอาขอนไม้ที่ลอยมากับน้ำได้ทัน ส่วนลูกและเมียนั้นลุงแกมองไม่ทันว่าหายไปตอนไหน ได้ยินแต่เสียงกรีดร้องดังลั่นในความมืด หันไปมองก็ไม่เห็น เรียกชื่อก็ไม่ได้ยิน เพราะเสียงพายุฝนนั้นดังลั่นสนั่นกว่ามาก
ฝนตกติดต่อกัน 3 วัน 3 คืน มิได้พัก จนเข้าสู่วันที่ 4 ฝนเริ่มอ่อนตัวลง ทางการได้ส่งคนเข้ามาเร่งช่วยเหลือในหมู่บ้าน พบว่าบ้านเรือนต่างเสียหายกันหลายหลัง ส่วนใหญ่ทุกคนปลอดภัย มีก็แต่ทรัพย์สินเท่านั้นที่ถูกทำลายหายไปกับสายน้ำ เจ้าหน้าที่เร่งเข้ามาให้ความช่วยเหลือทั้งด้านทุนทรัพย์ ด้านกำลังคนที่ช่วยกันฟื้นฟูชุมชนแห่งนี้ และลุงพิง ซึ่งได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ทั้งบ้าน ทั้งกระท่อมที่อยู่ห่างจากผู้คนออกไปถูกน้ำซัดหายไปไหนก็ไม่รู้ เจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันค้นหา ในวันที่ 5 ได้พบชายท่าทางอิดโรยติดอยู่บนต้นไม้ใหญ่ กำลังกอดต้นไม้ร้องไห้อย่างน่าเวทนายิ่งนัก สอบถามจึงได้ทราบว่า ถูกน้ำพัดมาติดอยู่บนต้นไม้นี้ พอน้ำลดก็ไม่มีแรงเหลือที่จะลงไปได้ ลุงแกได้เล่าว่า ทั้งภรรยา ทั้งลูกไม่รู้ว่าถูกน้ำซัดไปทางไหน ทางเจ้าหน้าที่จึงให้ความช่วยเหลือ และเร่งตามหาภรรยาและลูกของลุงพิง ผ่านไปร่วมเดือนก็ไม่พบร่องรอย ทำให้ทางการจึงได้ประกาศให้ภรรยาและลูกของลุงพิงเป็นบุคคลสูญหาย
บทสรุป
ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้เวลาผ่านมาอีกหลายเดือน ลุงพิงยังคงเก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจเสมอ คอยย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า จริง ๆ ในอดีตนั้น ถ้าเราทำอาชีพแค่เลี้ยงชีพ ไม่ใช่ทำเพื่อสนุกจนเกินเลย ไม่คร่าชีวิตสัตว์จนหมด ประกอบอาชีพที่ไม่เบียดเบียดสัตว์ หรือเบียดเบียนให้น้อยที่สุด มีเวลาให้กับครอบครัวให้มากกว่านี้ หมั่นทำบุญเยอะ ๆ เชื่อในคำเตือนของพระสงฆ์ในวันนั้น วันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น จากนี้ไปขอปฏิญาณ จะขอละเว้นความชั่ว ทำความดี และทำใจให้บริสุทธิ์ดีขึ้น ๆ เรื่อย ๆ
(ดูเป็นคลิปได้ที่นี่)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น