เด็ก ๆ หลาย ๆ คนคงจะเฝ้ารองานวันเด็กแห่งชาติที่จะมาถึง ที่โรงเรียนบางที่อาจมีการจัดงานด้วย ผู้ปกครองก็คงตื่นเต้นไปด้วย แต่ทว่า วันนี้กลับกลายเป็นวันที่เกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นมา ดังเรื่องต่อไปนี้
มานี เป็นเด็กสาวกำพร้าพ่อและแม่ตั้งแต่เด็ก ๆ เธออาศัยอยู่กับยาย 2 คน ณ บ้านแถบชนบทที่ห่างไกลผู้คน
ณ ที่โรงเรียน เนื่องจากพรุ่งนี้จะเป็นงานวันเด็กแห่งชาติ ทางโรงเรียนจึงมีการจัดกิจกรรม มีการแสดงละครบนเวทีด้วย ซึ่งเด็กหญิงมานีก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นนางเอกละครเวทีด้วย ทางโรงเรียนจึงประกาศให้ทุก ๆ คนได้กลับบ้านไปเตรียมตัวให้เรียบร้อย
ในช่วงเย็นหลังเลิกเรียน มานีรีบกลับบ้าน เธอกะว่าจะเอาเรื่องที่ตัวเองได้เป็นนางเอกละครเวทีของโรงเรียนไปเล่าให้ยายฟัง ยายคงดีใจแน่ ๆ
ตอนใกล้ค่ำ ยายได้พามานีไปซื้อชุดเพื่อเตรียมการแสดงของมานี แต่เนื่องจากบ้านของมานีอยู่ห่างไกลออกไปในชนบท การเดินทางไปมาระหว่างร้าน/ตลาดขายเสื้อผ้า กับบ้านมานีนั้นค่อยข้างเปลี่ยวและต้องเดินผ่านเส้นทางถนนในป่า ระหว่างเดินทางซึ่งบรรยากาศโดยรอบค่อยข้างมืดค่ำแล้ว ในวินาทีนั้นได้มีรถคันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง ได้ชนเข้ากับยายและหลานเข้าอย่างจัง อุบัติเหตุรถชนคนบนท้องถนนได้เกิดขึ้นแล้ว มานีจำได้ว่าได้ยินเสียงยายร้องโหยหวน มานีตกใจกลัวว่ายายจะเป็นอะไรไป จึงพยายามร้องเรียกยาย "ยาย ยายจ๋า ยายอย่าเป็นอะไรนะ หนูกลัวเหลือเกิน" สักพักมานีจึงค่อย ๆ สลบไป
"เอ้ก อิ เอ้ก เอ้ก" เสียงไก่ขัน มานีตกใจตื่น ทีแท้เรื่องทั้งหมดคงเป็นแค่ความฝันไป มานีตื่นขึ้นมาพบว่าขณะนี้เวลาจะเกือบ 9 โมงเช้าแล้ว แย่แล้วสิ วันนี้วันเด็กแล้ว และมานีก็มีงานแสดงด้วย แบบนี้คงไม่ทันแน่ ๆ เผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อวาน แล้วเรื่องที่เป็นนางเอกละครเวทีที่โรงเรียนก็ยังไม่ได้เล่าให้ยายฟังเลย
มานีหันมองรอบ ๆ พบว่ายายไม่อยู่บ้านแล้ว เธอตื่นสายแบบนี้ยายคงไปตลาดตั้งแต่เช้าตรู่เป็นแน่ สักพักมานีเริ่มรู้สึกขนลุกแปลก ๆ หมาแถบนั้นจึงเริมส่งเสียงหอนขึ้นมา
ด้วยความรีบร้อน มานีไม่ได้สังเกตอะไรโดยรอบ เธอรีบแต่งตัวและสวมชุดไปโรงเรียนทันที
ณ ที่โรงเรียน จริงอย่างที่เธอคิด งานวันเด็กก็ได้จัดขึ้น กิจกรรมบนเวที การแสดงก็มีคนอื่นเล่นเป็นนางเอกแทนมานีไปแล้ว ก็เพราะเธอมาสายซะขนาดนี้เขาคงไม่รอหรอก อีกทั้งทุก ๆ คนมัววุ่นอยู่กับการจัดงาน ไม่ค่อยมีใครสนใจมานีสักเท่าไหร่ หรืออาจจะยังโกรธเธอที่เธอมาโรงเรียนสาย "แต่จะแปลกอะไรล่ะ ก็ปกติก็ไม่ค่อยมีใครสนใจจะมาสุงสิงกับเราอยู่แล้วนี่นา" มานีรำพันเบา ๆ คนเดียวขณะค่อย ๆ เดินไปเรื่อย ๆ ในงาน
มานีมองไปรอบ ๆ ดูเหมือนบรรยากาศที่โรงเรียนวังเวงอย่างบอกไม่ถูก เสียงลมพัดกระทบใบไม้ฟังดูโหยหวน ช่างน่าขนลุกยิ่งนัก มันแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก เธอเดินไปเรื่อย ๆ และมองเห็นครูประจำชั้นของเธอยืนอยู่ เธอกะว่าจะเดินไปขอโทษคุณครูซะหน่อย
"กริ้ง ๆ" เสียงโทรศัพท์คุณครูดังขึ้น "ครับ อะไรนะ! ยาย! ครับ ศพ! ยาย"
มานีได้ยินเสียงคุณครูคุยโทรศัพท์ไม่ค่อยชัด แต่ก็พอจะจับใจความได้ว่า ยายน่าจะตายแล้ว ณ วินาทีนี้มานีใจแทบขาด เมื่อรู้ว่ายายซึ่งเป็นผู้ปกครองมานี คนที่คอยดูแลมานีคนเดียวที่เหลือ ต้องมาตายจากไป
คุณครูประจำชั้นได้พานักเรียนจำนวนหนึ่งขึ้นรถ รวมทั้งมานีก็ได้ติดรถไปด้วย รถขับผ่านทางเปลี่ยวผ่านบ้านมานีและตรงไปที่วัดใกล้บ้าน
เมื่อมาถึงที่วัด ปรากฏว่ามีโลงศพวางอยู่ มานีรีบวิ่งเข้าไปพบว่ายายยังอยู่ มานีดีใจมาก ๆ วิ่งเข้าไปกอดยาย "ยายจ๋า ยายจริง ๆ ด้วย หนูดีใจจังเลย หนูกลัวว่ายายจะเป็นอะไรไป" มานีรีบพูดกับยายด้วยความเป็นห่วง
"โธ่! มานีของยาย ไม่น่าตายเลย" ยายร้องไห้พลางพูดพลาง
ณ วินาทีนี้ ทุก ๆ คนที่มากับครูประจำชั้นได้เดินเข้าไปใกล้โลงศพ รูปถ่ายหน้าโลงศพคือรูปมานี
ที่แท้มานีตายแล้วตั้งแต่เมื่อคืนวานที่เกิดอุบัติเหตุรถชน แต่วิญญาณมานีออกจากร่างแล้วกลับไปที่บ้านแบบไม่รู้ตัวว่าตัวเองตายแล้ว นั่นแสดงว่า
ในตอนเช้ายายไม่อยู่บ้านก็เพราะยายไปรับศพของมานีที่โรงพยาบาล
ตอนมานีตื่นนอน (คือวิญญาณมานีหลุดออกจากร่าง แล้วกลับมาที่บ้าน) หมาจึงหอน
ที่โรงเรียนไม่มีใครสนใจมานี ไม่ใช่เพราะทุกคนยังโกรธเธอ แต่เพราะทุกคนมองไม่เห็นเธอ
จบเรื่องนี้แล้วครับ
แล้วท่านผู้อ่านล่ะ เคยจู่แล้วรู้สึกได้ยินเสียงลมพัดโหยหวน หรือรู้สึกเสียวจนขนลุกซู่บ้างมั้ย เพราะไม่แน่ อาจจะมีบางอย่างมากระทบตัวเราใกล้ ๆ ก็เป็นได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น