คำโบราณกล่าวไว้ว่า กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมคืนสนอง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ยังไงเสียก็ไม่มีใครหนีพ้นแรงแห่งผลกรรมไปได้ เวรกรรมหรือผลที่ตามสนองอาจจะเหมือนโดยตรงกับสิ่งที่เคยก่อไว้ หรืออาจจะคล้ายคลึงกันมากกับสิ่งที่เคยก่อไว้ และเรื่องนี้ก็เช่นกัน...
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับชาวบ้านคนหนึ่งที่ทั้งติดเหล้า ติดการพนัน และเขาไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม แต่สุดท้ายเมื่อหมดบุญกุศลที่คอยคุ้มครองตัวเอง เวรกรรมที่ได้ก่อไว้ก็ตามสนองจนสาสม และเรื่องต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าบ้างก็ว่า สร้างมาจากเรื่องจริง
ณ หมู่บ้านแสงเกลี้ยง เป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลจากชุมชนในเมืองเข้าไปในป่า ของจังหวัดสงขลา นายบุญเกิด เป็นชายวัย 40 กว่า ๆ มีภรรยาและลูกที่ยังเล็กอยู่อีก 1 คน ครอบครัวมีอาชีพทำไร่ ทำนา ครอบครัวของเขาค่อยข้างยากจน เนื่องด้วยตัวนายบุญเกิดเองก็เป็นคนขี้เกียจ ไม่ค่อยจะได้ช่วยเหลือทำมาหากินสักเท่าไหร่ แถมติดเหล้าเมายา ติดการพนันอย่างหนัก ชนิดที่ว่า เล่นเหมือนผีการพนันเข้าสิง และแน่นอนว่าการพนันมิได้ทำให้ใครร่ำรวยได้อย่างยั่งยืน เมื่อมีได้ ก็ต้องมีเสีย แต่คนเราส่วนใหญ่มักเล่นจนเสียซะมากกว่า
วันหนึ่ง ในหมู่บ้านมีการเปิดบ่อนการพนันแห่งใหม่ขึ้นมาอีกแห่ง เป็นบ่อนที่รวมการพนันทุกอย่างในสมัยนั้น มาเปิดอย่างใหญ่โต ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ แน่นอนว่าผิด แต่ใครเลยจะกล้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนมีสีระดับเจ้าของบ่อนใหญ่ขนาดนี้ แถมหมู่บ้านแห่งนี้ก็อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเข้าไปในป่า ไม่ค่อยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสักเท่าไหร่ บ่อนแห่งนี้จึงเปิดเสียใหญ่โตอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจกฎหมาย และวันนี้มีลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่ง ชื่อว่า นายซิ่ว ซึ่งเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงเรื่องเซียนการพนันมาจากหมู่บ้านข้างเคียง เขาเก่งมากจำพวกไพ่ต่าง ๆ เขามีไหวพริบ เขารู้จักจังหวะว่าช่วงไหนต้องเพิ่มทุน หรือช่วงไหนต้องหยุดได้แล้ว ทำให้เขาร่ำรวยกับการพนันมาตลอด และวันนี้ก็เช่นกัน นายซิ่วมาเล่นที่บ่อนแห่งนี้ตั้งแต่เวลาประมาณ 2 ทุ่ม มีได้มีเสียในตอนต้น แต่สมดังคำล่ำลือเขารู้จักการวางทุนประเดิม รู้จักเพิ่มทุน ทำให้เวลาได้เขาได้เพิ่มมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ จากหลักสิบ เป็นหลักร้อย จากหลักร้อยทวีคูญเป็นหลักพันและหลักหมื่น
และเมื่อนายซิ่วเริ่มรู้ตัวแล้วว่า นี่คงถึงเวลาหยุดแล้ว แต่อย่างว่าแหละในบ่อนการพนันนั้นคนที่เสียก็มักจะไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ ยิ่งถ้าใครได้มาก ๆ แล้วชิ่งหนีแล้วล่ะก็คงไม่ดีเป็นแน่ ด้วยความชำนาญและประสบการณ์ที่เคยสั่งสมมา นายซิ่วเมื่อรู้สึกว่าตัวเองได้มากพอแล้ว จึงทำทีว่าเล่นต่อไปสักนิด และทำทีว่าเล่นแพ้เล่นเสียบ้างเป็นบางตา
สักพักเขาจึงขอตัวเข้าห้องน้ำ โดยไม่ทันมีใครเอะใจ นายซิ่วรีบย่องออกจากบ่อนทางข้างหลัง มองซ้ายมองขวาเมื่อไม่เห็นมีใครก็รีบชิ่งเดินหนีไปตามเส้นทางหลังบ่อนทันที เขาฉลาดพอที่จะไม่พารถเครื่องมา เพราะหากสตาร์ทรถ เจ้าพวกข้างในคงรู้เป็นแน่แท้ ว่าเขากำลังถอยกลับ คงไม่ดีแน่ ๆ อาจมีหลายคนไม่พอใจ และเขารู้เรื่องนี้ดี นายซิ่วจึงค่อย ๆ เดินออกมาอย่างเงียบ ๆ และรีบเดินลัดเลาะป่ากลับไปท่ามกลางแสงเดือนและแสงดาวที่ส่องสว่างไปตลอดทาง เพราะบ้านของนายซิ่วอยู่ห่างจากบ่อนแห่งนี้แค่ 1 กิโลเศษ เดินกลับไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านแล้ว
เมื่อเดินมาได้สักครึ่งทางกลับบ้าน โดยไม่ทันรู้ตัวเพราะคิดว่าตัวเองได้มองดูอย่างดีแล้วว่าคงไม่มีใครตามมาเป็นแน่ ทว่า นายซิ่วฉลาดก็จริง แต่หามีความรอบคอบไม่ ท่ามกลางเงามืดของป่าที่รายล้อม บริเวณริมข้างทางที่นายซิ่วกำลังจะเดินผ่าน ยังมี 2 ดวงตาอันโหดร้ายจ้องอยู่ แน่นอนนั่นคือ นายบุญเกิดกับเพื่อนสหายเมาอีก 1 คน
“เปรี๊ยง!” เสียงปืนดังกึกก้องขึ้นมา 1 นัด ปรากฏว่าลูกปืนโดนเข้าที่ข้างหลังของนายซิ่วจนทำให้ล้มลงทั้งยืน วิญญาณหลุดออกจากร่างและเสียชีวิตในทันที นายบุญเกิดกับเพื่อนรีบเข้าไปค้นตัว พบเงินสดแปดหมื่นบาทในกระเป๋า กับเครื่องประดับเป็นทองห้อยคออีกเส้นหนักประมาณ 1 บาท และนาฬิกาข้อมือหรูอีก 1 เรือน แต่นายบุญเกิดต้องการที่จะทำให้การปล้นครั้งนี้ไม่เหมือนกับเป็นการปล้น โดยเขาควักเอาเงินสดไปแค่ครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือก็ยัดใส่กลับกระเป๋าผู้ตายเหมือนดังเดิม เครื่องประดับทองและนาฬิกาเขาไม่แตะต้องไม่เอาไปด้วย เพื่อให้ทุกอย่างดูเหมือนกับเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับนายซิ่วนั่นเอง นายบุญเกิดและเพื่อนได้ลากร่างอันไร้วิญญาณของนายซิ่วไปวางขวางทางรถไฟใกล้ ๆ เอาไว้ เพื่อจัดฉากให้ทุกอย่างดูราวกับว่า นายซิ่วเมาจนเผลอหลับขวางทางรถไฟ และเกิดอุบัติเหตุขึ้นจนเสียชีวิต
รุ่งเช้าข่าวการตายของนายซิ่วถูกโจษขานเซ็งแซ่ไปทั่ว เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสืบค้นชันสูตร ก็ได้ให้ข้อสรุปว่า นายซิ่วตายเพราะถูกรถไฟทับ เพราะทรัพย์สินทุกอย่างทั้งเงินสด ทั้งเครื่องประดับก็ยังคงอยู่ จึงสันนิษฐานว่านายซิ่วคงกินเหล้าจนเมามายและมานอนหลับที่ทางรถไฟ จนถูกรถไฟทับร่างเละแบบนี้ อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานใด ๆ อ้างว่ามีคนร้ายมาลอบฆ่า ทั้งพยานต่าง ๆ แม้ว่าจริง ๆ แล้วชาวบ้านในละแวกใกล้ ๆ ได้ยินเสียงปืน กับเห็นท่าทางของนายบุญเกิดดูมีพิรุธ ลุกลี้ลุกลนน่าสงสัยเป็นที่สุดก็ตาม แต่ใครเลยจะกล้าปริปากพูดออกมาเป็นพยานให้ตำรวจกันล่ะ ข่าวการตายของนายซิ่วจึงค่อย ๆ เงียบไปตามกาลเวลา
เวลาผ่านมาได้ประมาณ 6 เดือนกว่า ๆ ทุกอย่างเหมือนจะเงียบลง กฎหมายทำอะไรคนชั่วยังไม่ได้เลย ดูท่าว่านายซิ่วคงตายฟรี ๆ สำหรับทางกฎหมายแน่นอน
ในช่วงฤดูฝน ท้องนาเริ่มมีน้ำขัง ในค่ำคืนนี้ดวงดาวและดวงเดือนส่องแสงเจิดจ้า แต่ลมไม่ค่อยพัด จึงทำให้บรรยากาศดูเงียบสงัดวังเวง นายบุญเกิดผู้ที่ไม่ค่อยจะชอบการทำมาหากินสักเท่าไหร่ แต่สำหรับค่ำคืนนี้เขานึกสนุกอยากจะออกมาหาปูหาปลา เพื่อเอาไปทำกับแกล้มเหล้า และที่ขาดไม่ได้จำต้องนำติดตัวไปเสมอก็คือเหล้า 1 ขวด พอวางตาข่ายดักปลา วางคันเบ็ดไว้เสร็จสับเรียบร้อยแล้ว นายบุญเกิดก็มานั่งกินเหล้าอย่างสบายใจ เมื่อเริ่มเมาได้ที่จนลืมไปว่าต้องกลับไปดูปลาที่ดักไว้ และไม่รู้มีอะไรมาดลใจเขา ทำให้เขาเดินโซซัดโซเซไปที่ทางรถไฟ เขาเริ่มโน้มตัวลงนอนพักที่ทางรถไฟใกล้ ๆ ที่นาแห่งนั้น สักพักเขาจึงหลับลงไป
เวลาผ่านไปไม่ถึงเดือน อีกซีกหนึ่งของหมู่บ้าน ในขณะที่นายบุญแก้ว หรือเพื่อนสนิทที่เคยร่วมก่อเหตุกับนายบุญเกิดในหกเดือนก่อนนั่นเอง เขากำลังตัดต้นไม้ใหญ่อยู่ เมื่อตัดต้นไม้ใกล้จะขาด ทันใดนั้นต้นไม้เริ่มส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ ๆ” นายบุญแก้วรีบวิ่งหลบไปทางด้านทิศตะวันตกของต้นไม้ เข้าใจว่าต้นไม้คงจะล้มไปอีกทาง แต่นายบุญแก้วเข้าใจผิด ต้นไม้ใหญ่ น้ำหนักราว ๆ กับบ้านทั้งหลัง ล้มลงมาทับร่างของนายบุญแก้วอย่างจัง จนร่างเละ และเสียชีวิตทันที นี่จึงเป็นเวรกรรมที่ตามสนองแม้จะไม่เหมือนโดยตรงกับสิ่งที่เคยก่อไว้ แต่ก็เรียกได้ว่าคล้ายคลึงกัน และชาวบ้านต่างพากับเล่าขานและลือเกี่ยวกับเรื่องราวนี้ต่อ ๆ กันมาเรื่อย ๆ
เรื่องสั้น (นิยาย) เรื่องนี้จบแล้วครับ
อุทาหรณ์สอนใจจากเรื่องนี้ เป็นตัวอย่างที่อยากให้ทุก ๆ คนหมั่นทำความดีเข้าไว้ สิ่งใดที่เคยผิดพลาดให้รีบปรับปรุงแก้ไข เพราะส่วนใหญ่เวรกรรมมักจะให้เวลาช่วงหนึ่งในการสำนึกบาป สำนึกตัวครับ และสุดท้ายมีสิ่งหนึ่งที่อยากฝากไว้ครับ ดั่งคำโบราณที่กล่าวสอนใจให้คนรุ่นหลังเสมอว่า “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง” สวัสดีครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น