ณ ใจกลางเมืองใหญ่ ในยุคสมัยที่ทุกคนต้องแข่งขันกันทำงาน ต้องเร่งรีบ จนบางครั้งก็ลืมไปว่า ยังมีแม่ ยังรอคอยคนที่เธอห่วงใยกลับบ้านเสมอ เวลาที่ผ่านไปในแต่ละวัน แม่นั่งเฝ้ารอก็เพียงเผื่อได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับลูกในตอนเย็น นี่คือช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในแต่ละวันของผู้เป็นแม่...
ในใจกลางเมืองใหญ่แห่งนี้ ยังมีบ้านหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง มีแม่อาศัยอยู่กับลูกสาว 2 คน ซึ่งปัจจุบันลูกสาวได้เรียนจบแล้ว มีงานทำเป็นพนักงานออฟฟิศของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
วันหนึ่ง ในขณะที่ลูกสาวกำลังเร่งรีบจะไปทำงาน เพื่อวันนี้เธอตื่นสาย
แม่: "ลูก"
ลูกสาว: "อะไรแม่!!!"
แม่: "เอ่อ... แม่แค่อยากจะบอกว่า ขับรถดี ๆ นะ ระวัง ๆ ปลอดภัยไปดีมาดีนะลูก ตั้งใจทำงานล่ะ อ้อ! แล้วแม่จะถามว่า เย็นนี้ลูกจะกลับมากินข้าวที่บ้านมั้ย แม่จะได้ทำ..."
ยังไม่ทันพูดจบประโยคลูกสาวรีบชิงตัดบทพูด ด้วยความรำคาญ เพราะคิดว่านี่ใกล้จะสายแล้ว
ลูกสาว: "โอ้ยแม่! จะอะไรกันนักกันหนา พูดมากจัง นี่อ่ะ หนูใกล้จะสายแล้วเห็นมั้ย เรื่องแค่นี้เอง จะเรียกทำไมล่ะ คนยิ่งรีบ ๆ แล้วตอนเย็นน่ะบอกไม่ได้หรอกว่าจะได้กลับบ้านกี่โมง ถ้าแม่หิวก็กินข้าวไปก่อนเลย ไม่ต้องรอหรอก"
ลูกสาวรีบเดินออกไปที่รถ แล้วเอามือเปิดประตูรถพร้อมรำพึงรำพันเบา ๆ ว่า "น่ารำคาญจริง ๆ เลย เฮ้ย! หงุดหงิดแต่เช้าเลย" จากนั้นจึงรีบขับรถออกจากบ้านไป
และก็เป็นอย่างนี้ประจำ เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำบ่อย ๆ ผู้เป็นแม่ไม่เคยที่จะหยุดถามไถ่ลูกก่อนออกจากบ้านเสมอ
พอตกเย็นผู้เป็นแม่ก็จะเตรียมกับข้าวเอาไว้รอลูกสาวเสมอ ในวันนี้แม่มีแกงเลียงที่ลูกสาวชอบมาก ๆ ตอนยังเป็นเด็ก พร้อมกับปลาทอดกรอบหอม ๆ และผักลวก กะว่าลูกกลับมาเหนื่อย ๆ จะได้นั่งกินข้าวพูดคุยกันอย่างมีความสุข
แต่แม่ก็ได้แต่รอ รอแล้วรออีก จนตกดึก ลูกสาวก็ยังไม่กลับบ้าน แม่จึงนั่งกินข้าวคนเดียว แล้วก็จะเหลือกับข้าวส่วนนึงเก็บเอาไว้ให้ลูกสาว เผื่อว่าลูกสาวจะกลับมากิน แบบนี้เสมอ
เวลาผ่านไปอีกหลายปี ผู้เป็นแม่เริ่มแก่ชราลง ดวงตาเริ่มฝ้าฟาง หูไม่ค่อยได้ยิน ความจำก็เริ่มเลอะเลือน
วันหนึ่งในขณะก่อนลูกสาวจะไปทำงาน
แม่: "ลูกจ๋า ลูกเห็นจานข้าวแม่มั้ย แม่หาไม่เจอ แม่จะกินข้าว แม่หิวข้าว"
ลูกสาว: "โอ้ยแม่! ลองหาดูในตู้กับข้าวแล้วยัง เอาแต่ถามอยู่นั่นแหละ หาให้ดี ๆ ก่อนถามสิ"
แม่หันมองไปมารอบตัว พลางเอามือย่น ๆ คลำหาไปมาอยู่พักนึงก็หาไม่เจอ ลืมไปแล้วว่าเมื่อวานลูกได้วางจานไว้ที่ไหน จึงต้องเอ่ยถามลูกซ้ำอีกครั้งว่า
แม่: "ลูกจ๋า แต่มันไม่มีนะ ในตู้แม่หาแล้ว แม่จำไม่ได้ว่าเมื่อวานลูกวางจานไว้ที่ไหน ลูกช่วยหาให้แม่หน่อยสิ นะ"
ลูกเริ่มโมโห เพราะเช้านี้เธอก็ตื่นสายแล้ว และก็กำลังจะไปทำงานสายอีกเช่นเคย จึงพูดกึ่งตวาดแม่ออกไปว่า
ลูกสาว: "โอ้ย! อะไรกันนี่ แม่จะขี้ลืมอะไรกันนักหนา บอกว่าอยู่ในตู้กับข้าว อยู่ในตู้กับข้าวไง แม่ไปหาในตู้ลูกนั้นจะเจอได้ไงเล่า เอานี่... เอาจานเหล็กไปใส่ข้าวก่อนแล้วกัน จานใบโน้นเดี๋ยวเย็น ๆ จะกลับมาหาให้ อีกอย่าง แม่ใส่จานเหล็กน่ะดีแล้ว เดี๋ยวจานกระเบื้องแม่ก็ทำแตกอีกหรอก"
หลังพูดจบและยื่นจานเหล็กใบเก่า ๆ ใบนี้ให้แม่ไป ลูกสาวก็รีบบึ่งรถไปทำงานทันที โดยไม่ทันหันมองข้างหลัง
และพอแม่ได้รับจานจากมือลูกที่ส่งมาให้ แทนที่จะนำไปใส่ข้าว แต่แม่กลับหยิบจานเหล็กเก่า ๆ ใบนี้มายืนดู แม่ชะงักอยู่ครู่ใหญ่ ๆ เมื่อเห็นจานใบนี้ แล้วแม่ยิ้มก็อย่างมีความสุข พร้อมกับน้ำตาใส ๆ เริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาอันฝ้าฟางของแม่
ถามว่าทำไมแม่ยิ้มน่ะเหรอ ก็เพราะมีความทรงจำนึงที่ผุดขึ้นมาจากความทรงจำแม่ แม่จึงนั่งลงบนเก้าอี้ข้าง ๆ โต๊ะกินข้าว
ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว มีเด็กสาวตัวน้อย ๆ คนนึงกำลังนั่งเล่นกับหญิงสาวผู้เป็นแม่ อยู่บริเวณหน้าบ้านของตัวเอง
หญิงสาวพยายามจะป้อนข้าวลูกน้อย แต่ลูกน้อยกลับยังเล่น และหันมองไปบนกิ่งไม้ซึ่งมีนก 2 ตัวเกาะอยู่ ลูกน้อยหันมองแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเจ้านก 2 ตัวบนกิ่งไม้นั้น
ลูกน้อย: "แม่คะ นั่นนกอะไร"
หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า "อ๋อ นั่นคือนกเอี้ยงจ่ะลูก ลูกเห็นมั้ย ตัวนึงเป็นแม่นกเอี้ยงที่กำลังคาบอาหารมาป้อนให้ลูกของมัน เหมือนตอนนี้เลย ที่แม่กำลังจะป้อนข้าวให้ลูก มาเร็ว แกงเลียงที่ลูกชอบอยู่นี่แล้ว"
แล้วแม่ก็หยิบจานเหล็กขึ้น ใช้ช้อนค้นเล็ก ๆ ค่อย ๆ ตักข้าวป้อนให้ลูกน้อย
หญิงสาว: "อั้ม! เก่งมากเลยจ่ะลูก" แล้วแม่ก็ยิ้มและหัวเราะเบา ๆ กับลูกน้อย
และในวันนี้ช่วงปัจจุบันตอนแม่แก่ชราลงแล้ว จานข้าวใบนั้น ก็คือจานเหล็กเก่า ๆ ใบนี้นั่นเอง แม่จำจานใบนี้ได้ดี จำรอยตำหนิของมันได้ ถึงแม้วันนี้แม่จะความทรงจำเริ่มเลอะเลือน แต่ความทรงจำอันแสนงดงามเกี่ยวกับลูกสาว แม่ยังคงจำมันได้ดีเสมอไม่มีวันลืม
นิทานจบครับ
ข้อคิดท้ายเรื่อง (ดูเพิ่มเติมในคลิปด้านล่างนี้ประกอบนะครับ)
สำหรับบางคน ณ ปัจจุบันเคยสงสัยมั้ยครับว่า ทำไมเราเรียนมาเหมือนกัน ทำงานในตำแหน่งเดียวกัน หรือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม จะมีบางคนเสมอสำเร็จไปได้ลุล่วงเร็วกว่า แต่ในขณะที่บางคนกลับทำมันได้ช้ากว่า หรือจะทำอะไรทีนึงก็ติดแต่ปัญหาหรืออุปสรรค
นั่นเป็นเพราะกระบวนการความคิดจากภายใน ในจิตใต้สำนึกของเรา ที่ฝังสิ่งดี ๆ ความกตัญญู ความรักเอาไว้หรือไม่
ให้เรามองย้อนกลับไปดูตัวเองครับว่า วันนี้เราได้ดูแลคนที่คอยห่วงใยเรา ดูแลคนรอบข้าง มีความรัก ความกตัญญูให้เขาแล้วหรือยัง ถ้าได้ทำแล้ว มันจะทำให้จิตใจเรา จิตใต้สำนึกเราถูกปลูกฝังสิ่งดี ๆ เอาไว้ และความดีนั้นจะคอยตามมาตอบแทนในเรื่องดี ๆ เสมอครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น