เรื่องนี้เกิดขึ้นกับใคร ๆ หลาย ๆ คนก็ว่าได้ กับภัยสังคม แก๊งมิจฉาชีพขโมยโทรศัพท์มือถือ แต่ตอนสุดท้ายนี่สิ พีคโคตร ๆ อื้อหือ
ช่วงสาย ๆ วันหนึ่ง ในขณะที่ผมกำลังยืนรอรถเมย์อยู่ที่ป้ายรถเมย์แห่งหนึ่งอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีชายร่างเล็กเดินแบบรีบ ๆ เข้ามายืนข้าง ๆ ผม ผมดูจากหน้าตาและรูปทรงแล้ว ท่าทางเขาค่อนข้างมีพิรุธเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ผมก็ยังเฉย ๆ เพราะคิดว่าเราคงคิดมากไปเอง จะให้มองคนจากภายนอกได้อย่างไร แต่แล้วพอเวลาผ่านไปสักพักนึง ผมก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ ก็เลยลองเอามือมาตบ ๆ ที่กระเป๋ากางเกงของตัวเองดู เฮ้ย! เอาแล้วไง โทรศัพท์มือถือผมหายไป ผมหันมองชายคนนั้นที่ยืนข้าง ๆ ผม เขาก็หันมองกลับมาที่ผม แต่ว่าเขาไม่กล้าสู้สายตาผม ไม่นานนักเขาก็เริ่มเดินหนีผมไปแบบเริ่งรีบ ไม่รอช้าผมจึงรีบตามไปคว้าแขนเขาเอาไว้ แล้วพูดออกไปว่า
"มือถือผมอยู่ไหน"
"มือถืออะไร จะไปรู้ได้ไง ผมไม่รู้เรื่อง" ชายคนนั้นตอบกลับมาแบบเหมือนจะรู้ว่าผมเริ่มรู้ตัวแล้ว
"ก็มือถือในกระเป๋ากู ที่มึงแอบขโมยไปไง" ด้วยความโมโหผมจึงได้ตะคอกใส่ชายคนนี้ไป หลังจากนั้นผมจึงเริ่มค้นตัวของเขาอย่างละเอียด แต่ผมหาไม่เจอ ใช่สินะ ไอ้พวกนี้มันคงทำเป็นขบวนการ หลังจากขโมยแล้วมันคงรีบส่งต่อให้เพื่อนในแก๊งที่อยู่ใกล้ ๆ แถว ๆ นี้ พอประจวบเหมาะจึงรีบทำตีเนียนเดินหนี
ถึงตอนนี้ คนที่อยู่แถว ๆ นี้เริ่มมองมาที่ผมกับเจ้าหัวขโมยคนนี้ และแล้วไม่นานนัก ผมก็ค้นเจอมือถือของมัน ไม่รอช้าผมจึงหยิบมือถือในกระเป๋ามันแล้วลองกดโทรเข้าเบอร์ของผมดู อ่า... โทรติดด้วย ผมคิดในใจว่า มันช่างกล้ามากที่ขโมยมือถือผมไปแล้วไม่ปิดเครื่องหนี คงเป็นเพราะผมจับมันและแก๊งของมันได้คาหนังคาเขา แล้วสักพักก็มีคนรับสาย
"มึงเอามือถือกูคืนมาเลยนะ ไอ้สัตว์!" ผมรีบชิงตะโกนใส่ด้วยความโมโหสุดขีด
"มึงก็มาเอาเองดิ่ ไอ้เชี้ย! สัตว์เอ้ย เจือกลืมมือถือไว้ที่บ้าน แล้วยังเจือกโทรมาด่ากูอีก ห่านจิก!" นั่นเป็นเสียงเมียผมตะโกนตอบกลับมา 😁😁😁😁
จบเรื่องนี้ครับ 😅😅😅
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า (คุณธรรมท้ายเรื่อง)
ในชีวิตประจำวัน เมื่อเกิดเหตุขัดข้องอะไรขึ้นมา อย่าเอาแต่ตีโพยตีพายโทษแต่คนอื่น แต่ให้ลองสำรวจข้อพกพร่องของตัวเองก่อน หรือสำรวจรายละเอียดต่าง ๆ ด้วยเหตุผลอารมณ์เป็นกลางซะก่อน ก่อนจะไปโทษใครต่อใคร เพราะในชีวิตจริงมันอาจจะไม่ตลกแบบนี้ 😀😀😀
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น